ผู้ให้การปรึกษาควรมีความเข้าใจและสามารถอธิบายให้ผู้รับการปรึกษาเข้าใจได้ว่าเชื้อเอชไอวีติดต่อได้อย่างไร มีวิธีการตรวจหาเชื้อเอชไอวีอย่างไรบ้าง หากติดเชื้อแล้วการดำเนินของโรคเป็นอย่างไร และการกินยาต้านไวรัสจะต้องทำอย่างไรบ้าง นอกจากนี้ผู้ให้การปรึกษาควรมีความเข้าใจเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ว่าสามารถติดต่อได้อย่างไร มีวิธีการรักษาอย่างไรและมีความเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อเอชไอวีอย่างไร และเนื่องจากการติดเชื้อเอชไอวีทำให้มีการแพร่ระบาดของวัณโรค ผู้ให้การปรึกษาจึงควรมีความรู้ว่าการติดเชื้อเอชไอวีมีความเกี่ยวข้องกับวัณโรคอย่างไร และควรจะสามารถให้การปรึกษาในกรณีที่ผู้รับการปรึกษาเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีอาการของวัณโรคร่วมด้วยได้
คำว่า AIDS ย่อมาจาก Acquired Immune Deficiency Syndrome
Acquired หมายถึง การแพร่จากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง
Immune หมายถึง ระบบภูมิต้านทานหรือระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
Deficiency หมายถึง ความบกพร่องหรือไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
Syndrome หมายถึง กลุ่มอาการหรือโรคที่มีอาการหลายๆ อย่าง
โรคเอดส์ หมายถึง อาการป่วยหรือโรคที่เกิดจากระบบภูมิคุ้ม กันของร่างกายบกพร่องหลังจากติดเชื้อเอชไอวี ไวรัสเอชไอวี (Human Immune Deficiency Virus: HIV) เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ในคน ซึ่งนักวิจัยได้จำแนกไวรัสเอชไอวีเป็น 2 ชนิด คือ HIV-1 และ HIV-2 ซึ่งเอชไอวีทั้ง 2 ชนิดนี้ มีวิธีการแพร่เชื้อเหมือนกันและทำให้เกิดโรคฉวยโอกาสคล้ายๆ กัน แต่จะแตกต่างกันที่ความยากง่ายในการแพร่เชื้อและระยะเวลา ตั้งแต่ติดเชื้อครั้งแรกจนปรากฏอาการของโรค (การดำเนินโรค) ไวรัสเอชไอวีที่พบมากทั่วโลกคือ HIV-1 ซึ่งแบ่งย่อยได้มากกว่า 10 ชนิดย่อย (subtypes) ส่วน HIV-2 ซึ่งมักพบในทวีปแอฟริกาตะวันตก จะแพร่เชื้อได้ยากกว่าและมีการดำเนินโรคช้ากว่า HIV-1 คนๆหนึ่งสามารถติดเชื้อเอชไอวีทั้งสองชนิดพร้อมกันได้
ที่มา : คู่มืออ่านประกอบการให้การปรึกษาเพื่อการตรวจเอชไอวี สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น